เครื่องปั่นเลือด คืออะไร ควรเลือกแบบไหนดี?

Last updated: 5 ก.ย. 2568  |  134 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เครื่องปั่นเลือด


เครื่องปั่นเหวี่ยง / เครื่องปั่นเหวี่ยงตกตะกอน หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า "เครื่องปั่นเลือด" (Centrifuge) ถือเป็นเครื่องมือที่ห้องแล็บแทบทุกห้องจะขาดไม่ได้ เนื่องจากว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการปั่นแยกส่วนประกอบของเลือดเพื่อให้สามารถนำส่วนที่ปั่นแยกออกมาวิเคราะห์ / วินิจฉัยโรคต่อไปได้ 

โดยในบทความนี้จะทุกท่านจะเข้าใจว่าเครื่องปั่นเลือดมีไว้เพื่ออะไร, มีส่วนประกอบอะไรบ้างที่สำคัญ และมีเครื่องปั่นเลือดรุ่นไหนบ้างที่กำลังได้รับความนิยมในปี 2025 


เครื่องปั่นเลือดเอาไว้ใช้เพื่ออะไร

เครื่องปั่นเลือด

เครื่องปั่นเลือด (Centrifuge) มีไว้เพื่อใช้ในการปั่นแยกส่วนประกอบของเลือด โดยใช้หลักการปั่นเหวี่ยง (Centrifugal Force) ซึ่งจะทำการปั่นด้วยความเร็วสูง ทำให้องค์ประกอบของเลือดแยกตัวออกจากกันเป็นชั้น (Layer) 

  รู้หรือไม่?

"ถึงแม้คนไทยจะรู้จักหรือเรียกเครื่องดังกล่าวว่า "เครื่องปั่นเลือด" แต่ในความเป็นจริงเครื่องปั่นเลือดสามารถปั่นปัสสาวะ, ชิ้นเนื้อ ฯลฯ" 

ปั่นแยกเซรั่ม/พลาสมา

การปั่นแยกเซรั่มเป็นขั้นตอนสำคัญในห้องแล็บ เพื่อให้ได้เลือดที่ไม่มีเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด หรือที่เราเรียกกันว่าเซรั่ม/พลาสมา (ขึ้นอยู่กับ Tube ที่ใช้งาน) เพื่อใช้ในการตรวจวิเคราะห์ทางชีวเคมีและการวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ 

ปั่นเหวี่ยงตกตะกอน

การปั่นเหวี่ยงตกตะกอนใช้เพื่อ แยกสารตกตะกอนออกจากของเหลว เช่น การตรวจหาสิ่งปนเปื้อน หรือชิ้นส่วนของเซลล์ที่ต้องแยกออกก่อนทำการตรวจต่อไป

ปั่นปัสสาวะ

เครื่องปั่นเลือด (Centrifuge) ยังสามารถใช้ปั่น ตัวอย่างปัสสาวะ เพื่อแยกเซลล์หรือสารตกค้างได้อีกด้วย ทำให้สามารถตรวจวิเคราะห์ได้ละเอียดขึ้น เช่น ตรวจหาภาวะติดเชื้อหรือโรคไต เป็นต้น



เครื่องปั่นเลือดมีส่วนประกอบอะไรบ้าง

ส่วนประกอบ เครื่องปั่นเลือด

เครื่องปั่นเลือดมีส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องโดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ 

โครงเครื่อง

โครงเครื่องถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เนื่องจากโครงเครื่องที่แข็งแรง ทนทาน จะทำให้สามารถยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น

หัวปั่น (Rotor)

หัวปั่น เครื่องปั่นเลือ (Rotor) คืออุปกรณ์ที่ไว้บรรจุหลอดเก็บเลือด (tube) โดยหากพูดถึงภาพใหญ่ จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท โดยแบ่งออกได้เป็น Fixed Angle Rotor และ Swing Out Rotor

หัวปั่น Fixed Angle Rotor

หัวปั่น Fixed Angle Rotor

หัวปั่น Fixed Angle Rotor ของเครื่องปั่นเลือดจะสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท โดยจะแบ่งออกเป็นขนาดของหลอดที่สามารถจุได้

จุดเด่นสำหรับหัวปั่น Fixed Angle Rotor  

  • ใช้งานง่าย หลักการใส่ Tube ให้สมดุลไม่มีความซับซ้อน
  • ราคาถูก เมื่อเทียบกับแบบ Swing Out Rotor
  • สามารถ
หัวปั่น Fixed Angle Rotor แบ่งออกเป็นหัวปั่นประเภทไหนได้บ้าง ?
หัวปั่น Hematocrit 

หัวปั่น Hematocrit ถูกออกแบบมาเพื่อ ปั่นหลอดเลือดขนาดเล็ก (Capillary Tube) ให้ได้ค่าฮีมาโตคริตที่แม่นยำ ใช้กันมากในห้องแล็บทางคลินิก

หัวปั่นทั่วไป

หัวปั่นทั่วไปสามารถใช้กับหลอดหลายขนาดและหลายประเภท เพื่อการใช้งานทั่วไปในห้องแล็บ เช่น การเตรียมตัวอย่างสำหรับตรวจวิเคราะห์พื้นฐาน

หัวปั่น Micro Rotor

Micro Rotor เหมาะกับ หลอดขนาดเล็กมาก เช่น การวิจัยด้านโมเลกุลหรือจุลชีววิทยา ที่ต้องใช้ตัวอย่างขนาดเล็กแต่ต้องการความแม่นยำสูง

หัวปั่น Swing Out Rotor

 

หัวปั่น Swing Out Rotor

 

หัวปั่น Swing Out Rotor เป็นหัวปั่นที่เมื่อเครื่องเริ่มการทำงานจะถูกแรงเหวี่ยง (Centrifugal Force) จากตัวเครื่องปั่นเลือด จนทำให้อยู่ในตำแหน่งแนวนอน

จุดเด่นสำหรับหัวปั่น Swing Out Rotor  

  • สามารถที่จะจุจำนวนหลอดได้เยอะ เมื่อเทียบกับ Fixed Angle Rotor
  • มีหัวปั่นให้เลือกหลากหลาย และมีหัวปั่นที่สามารถจุหลอดที่มีขนาดใหญ่หรือถุงเลือดได้
หัวปั่น Cell Washer

สามารถจุหลอดขนาด 10x75 และ 12x75 โดยส่วนมากจะใช้สำหรับงานธนาคารเลือด เพื่อใช้หาความเข้ากันได้ของเลือด (Cross-matching) 

มอเตอร์ (Motor)

มอเตอร์เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หัวปั่นหมุนได้ตามความเร็วที่ตั้งค่า มอเตอร์คุณภาพสูงช่วยให้ ความเร็วคงที่ ลดการสั่นสะเทือน และยืดอายุการใช้งานของเครื่อง

หน้าจอ (LCD/LED)

หน้าจอแสดงผลเครื่องปั่นเลือด

หน้าจอ LCD/LED ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าเวลาและความเร็วรอบได้ รวมถึงสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานของเครื่อง

 


เครื่องปั่นเลือด ควรปั่นด้วยความเร็วรอบเท่าไหร่

เทคนิคการตั้งค่าความเร็วรอบ เครื่องปั่นเลือด

การปั่นหาค่าฮีมาโตคริต (Hematocrit)

ใช้หลอด Capillary Tube ขนาดเล็ก ปั่นโดยเครื่องปั่นฮีมาโตคริต ที่ 10,000 – 12,000 RPM ประมาณ 5 นาที จะได้การแยกชั้นที่ชัดเจนระหว่างเม็ดเลือดแดงกับพลาสมา สามารถอ่านค่า % ฮีมาโตคริตได้ตรง

การปั่นแยกเซรั่ม (Serum Separation)

ใช้ Serum Tube (ไม่มีสารกันการแข็งตัว) หลังจากปล่อยให้เลือดแข็งตัว 20–30 นาที ปั่นที่ 3,000 – 3,500 RPM ประมาณ 10 นาที จะได้เซรั่มที่ใส เหมาะสำหรับตรวจค่าเคมีในเลือด (เช่น Glucose, Cholesterol, Enzyme ต่าง ๆ)

การปั่นแยกพลาสมา (Plasma Separation)

ใช้ EDTA หรือ Heparin Tube ที่มีสารกันการแข็งตัว ปั่นที่ 2,000 – 3,000 RPM ประมาณ 10 นาที เพื่อแยกพลาสมาออกมาโดยไม่ให้เซลล์เม็ดเลือดแตก

การปั่นปัสสาวะ (Urine Sediment)

ใช้หลอดพลาสติกธรรมดา ปั่นที่ 1,500 – 2,000 RPM ประมาณ 5 นาที จะได้ตะกอนปัสสาวะด้านล่าง สามารถนำไปส่องกล้องหาความผิดปกติ เช่น เม็ดเลือดขาว แบคทีเรีย หรือผลึกต่าง ๆ

การปั่นล้างเซลล์ (Cell Washing) สำหรับ Cross Matching งานธนาคารเลือด

ใช้หลอดขนาด 10x75 mm หรือ 12x75mm ปั่นโดยเครื่องปั่นล้างเซล์ (Cell Washer) โดยมีการตั้งค่าความเร็วที่ 3000 RPM ในเวลา 15-30 วินาที (ขึ้นกับเครื่องและ protocol ของแต่ละห้องแล็บ) โดยมักจะมีกระบวนในการล้างเซลล์ทั้งหมด 2-3 รอบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทำ Antiglobulin Test (Coombs Test) ต่อไป 

สาเหตุที่ไม่ควรปั่นนาน เพราะว่ามีโอกาสที่จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก (Hemolysis) หรือสูญเสียบางส่วน และส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ได้คลาดเคลื่อน



หลอดเก็บเลือดใช้เป็นหลอดประเภทไหน

Tube สำหรับเครื่องปั่นเลือด

 

หลอดเก็บเลือดมีหลายประเภท เช่น EDTA, Heparin, Serum Tube, PRP Kits ฯลฯ การเลือกหลอดต้องพิจารณาตาม ชนิดหรือตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจ, ค่าหรือผลลัพธ์ที่ต้องการหลังจากการปั่นเหวี่ยง, ช่องใส่หลอดเก็บเลือด (ว่าสามารถใช้งานกับหลอดเก็บเลือดได้หรือไม่)

หลอดเก็บเลือด (Vacuum Blood Collection Tube) ไม่ใช่ว่าสามารถใช้แทนกันได้ทั้งหมด ถ้าใช้ผิดประเภท ผลตรวจอาจผิดเพี้ยนได้ ตัวอย่างเช่น

  • EDTA Tube (ฝาสีม่วง) → มีสารกันการแข็งตัว EDTA-K2 หรือ K3 เหมาะสำหรับตรวจ CBC (Complete Blood Count) แต่ห้ามนำไปปั่นเพื่อหาค่าเคมีเลือด เพราะ EDTA จะรบกวนผลตรวจ
  • Heparin Tube (ฝาสีเขียว) → เหมาะสำหรับตรวจที่ต้องใช้พลาสมา เช่น HLA typing หรือการตรวจฮอร์โมนบางชนิด
  • Serum Tube (ฝาแดง / ฝาเหลือง) → ไม่มีสารกันการแข็งตัว เหมาะสำหรับการปั่นแยกเซรั่ม ใช้ตรวจค่าชีวเคมี/ฮอร์โมน/การทำงานของตับ
  • Sodium Citrate Tube (ฟ้า) → ใช้สำหรับงาน Coagulation test (PT, aPTT, INR) ต้องมีอัตราส่วนเลือดกับสารกันการแข็งตัว 9:1 เท่านั้น ถ้าปริมาณเลือดไม่พอ ผลตรวจเพี้ยนแน่นอน
  • PRP Tube (Platelet Rich Plasma Kits) → ใช้ในงาน Regenerative Medicine (เช่น PRP therapy) มี Gel separator เพื่อให้ได้ชั้นที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น



แนะนำเครื่องปั่นเลือด

เครื่องปั่นเลือดคุณภาพดี มีหลายแบรนด์ในท้องตลาด แต่ก่อนที่จะไปถึงการแนะนำ เราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า คุณภาพดีคืออะไร ? 

เครื่องปั่นเลือดคุณภาพดี ดูจากอะไร ? 

มีรอบในการปั่นที่ตรงกับความเป็นจริง

หรืออย่างมากที่สุด มีการเหวี่ยงไม่เกิน 2-3% เช่น ตั้งค่าเครื่องปั่นเลือดที่ 4000 RPM เมื่อทำการวัดผลควรจะได้ค่าตามจริง หรือถ้ามีค่าเหวี่ยง ก็ควรอยู่ในช่วง 2-3% ขึ้นอยู่กับการตั้งมาตรฐานของห้องแล็บ

โครงเครื่องแข็งแรงทนทาน

เมื่อโครงเรื่องมีความแข็งแรงทนทานสูง ก็จะทำให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันได้นานขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มอายุการใช้งานขึ้นไปได้ ทำให้ไม่ต้องมีการเปลี่ยนเครื่องปั่นเลือดบ่อย ๆ

เมื่อทุกท่านเข้าใจแล้วว่าเครื่องปั่นเลือดคุณภาพดีเป็นอย่างไร ต่อไปนี้จะเป็นการแนะนำเครื่องปั่นเลือดที่กำลังมาแรงในปี 2025 ให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

เครื่องปั่นเลือด แบรนด์ Centurion

เครื่องปั่นเลือดจากประเทศอังกฤษ (UK) จากยุโรป 

เครื่องปั่นเลือด Centurion


จุดเด่น

  • โครงเครื่องที่แข็งแรง การันตีความคงทน
  • อะไหล่มีความคงทน
  • ค่าที่ได้ออกมาแม่นยำ เชื่อถือได้
  • รับประกัน 2 ปี

 

เครื่องปั่นเลือด แบรนด์ Sonova

เครื่องปั่นเลือดจากประเทศจีน 

เครื่องปั่นเลือด Senova

จุดเด่น

  • ราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับราคาจากเครื่องปั่นเลือดของอเมริกา / ยุโรป
  • ค่าออกมาแม่นยำ
  • ใช้งานง่าย ดีไซน์เรียบง่ายแต่สวยงาม

 



 สั่งซื้อเครื่องปั่นเลือด

หากต้องการสั่งซื้อเครื่องปั่นเลือดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติตด่อเข้ามาได้ที่

 Line: @medinter

 E-mail: winai@medinterthailand.com

 Tel: 02-888-2288, 081-845-4245

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้