Last updated: 8 ต.ค. 2568 | 3226 จำนวนผู้เข้าชม |
เนื้อหาในบทความ • PRP มีประโยชน์ยังไง ? • ปัจจัยในการเลือกเครื่องปั่น PRP • เครื่องปั่น PRP รุ่นที่แนะนำ |
การบำบัดโดยใช้ พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma หรือ PRP) เป็นการบำบัดทางเลือกที่มีประโยชน์ในหลายแง่มุม เช่น
โดยการใช้ PRP ในการบำบัด ถือว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัย(ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของบุคลากรทางการแพทย์) เนื่องจากว่า PRP หรือพลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้นนั้น ไม่ใช่วัสดุที่สังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ แต่มันคือองค์ประกอบที่อยู่ในเลือดของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว
ดังนั้นในการเข้ารับบำบัด หลักการโดยทั่วไปคือ บุคลากรทางการแพทย์จะทำการเจาะเลือด และนำเลือดของผู้เข้ารับการบำบัด มาใส่ในเครื่องปั่นเลือด (Centrifuge) เพื่อทำการปั่นแยกส่วนประกอบของเลือด โดยหลังจากปั่นเหวี่ยง เลือดจะมีการแบ่งเป็นหลาย ๆ Layer ซึ่งหากใครอยากเข้าใจว่าเลือดมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ทางเราเคยมีเขียนบทความเอาไว้แล้ว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ซึ่งหนึ่งในส่วนประกอบของเลือดที่จะถูกแยกออกมา ก็คือ PRP นั่นเอง ทำให้ขั้นตอนต่อมาก็คือการที่ผู้บำบัดดูดเอา PRP ออกมาและทำการฉีดไปในส่วนที่ต้องการ (ตามวัตถุประสงค์)
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เครื่องปั่นเลือด (Centrifuge) เป็นเครื่องที่มีความหลากหลาย อาจจะทำให้หาเครื่องปั่นเลือดที่ถูกใจเพื่อนำไปใช้ในงาน PRP ได้ยาก บทความนี้จึงอยากจะแนะนำข้อสังเกตุให้ผู้อ่านได้ทราบเบื้องต้น เพื่อนำไปประกอบกับการซื้อเครื่องปั่นเลือด PRP ได้อย่างถูกใจ
Speed (RPM) และ G-Force (RCF, แรง G) เครื่องปั่นเลือดที่เลือกมาใช้จะต้องเป็นเครื่องที่สามารถปั่นได้ในความเร็วรอบที่สามารถปั่นอยู่ในช่วงที่จะทำให้องค์ประกอบของเลือดถูกเหวี่ยงออกมาแล้วมี PRP ออกมาให้เห็นได้
ซึ่งความเร็วรอบและนาทีในการตั้งค่า ขึ้นอยู่กับเทคนิคและตัวอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการปั่น (PRP Kits) ซึ่งจะอยู่ที่ความเร็ว 1500-3500 RPM ถึง 10-15 นาที
เครื่องปั่นเลือด (Centrifuge) ควรที่มีขนาดความจุเพียงพอที่จะสามารถใส่เลือดตามที่ต้องการได้ ทั้งในแง่ของเรื่องขนาดของ Tube เก็บเลือด และในแง่ของปริมาณความจุของหลอดเก็บเลือดของหัวปั่น (Rotor)
โดยมากปัญหาของเรื่องความจุมักไม่ได้อยู่ที่จำนวนหลอดที่สามารถใส่ได้ต่อการปั่นเหวี่ยง เนื่องจากในความเป็นจริง คลินิกมักใช้งานเครื่องปั่น PRP เมื่อมีลูกค้าเข้ามารับบริการ และสำหรับ 1 คน ปริมาณหลอดที่ใช้งานจริงก็มักจะอยู่ที่เพียง 2 หลอด (หลอดที่เก็บเลือดเพื่อเตรียมปั่นแยก PRP กับ หลอดใส่น้ำที่เตรียมไว้เพื่อให้เครื่องเกิดความสมดุล)
ขนาดของหลอดเก็บเลือดสำหรับเตรียมปั่นแยก PRP (PRP Tube) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำการตรวจสอบก่อน
เนื่องจาก PRP Tube หรือ PRP Kits แต่ละยี่ห้อจะมีขนาดไม่เท่ากัน บางยี่ห้อก็จะออกแบบมาให้เป็นขนาดหลอดเก็บเลือดมาตรฐานที่มีขนาด 13x100mm แต่ในบางยี่ห้อจะมีลักษณะของ PRP Tube ที่เป็นในรูปแบบทรงกระบอกที่คล้ายกับหลอดฉีดยา (Syringe)
ข้อดีของหลอดประเภท PRP Kits ที่มีรูปทรงกระบอก คือสามารถจุเลือดได้เยอะขึ้น และออกแบบมาใช้สำหรับงาน PRP โดยเฉพาะ ทำให้มี Feature ที่สามารถรีด PRP ออกมาได้ดีกว่า PRP Tube ปกติ แต่ขนาดของ PRP Kits จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถที่จะใส่เข้าไปในเครื่องปั่น PRP ได้ทุกชนิด
ดังนั้น หากมี PRP Kits ที่ต้องการไว้ในใจแล้ว ควรที่จะวัดขนาดเอาไว้ และส่งต่อให้กับผู้จำหน่ายเครื่องปั่น PRP เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่า สามารถใช้ร่วมกันได้หรือไม่
หัวปั่น (Rotor) ของเครื่องปั่นเลือดสำหรับงาน PRP จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ
เมื่อเราทราบถึงตัวเลือกของหัวปั่นแล้ว คำถามถัดมาก็คือ แล้วหัวปั่นแบบไหนดีกว่ากัน ? ต่อไปนี้จะเป็นการสรุปข้อดี / ข้อเสีย ของการใช้งานหัวปั่นทั้ง 2 ประเภท เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจในการเลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น
หัวปั่นประเภท Fixed Angle Rotor ถือว่าเป็นหัวปั่นแบบมาตรฐานเลยก็ว่าได้ โดยเป็นหัวปั่นที่หาซื้อได้ง่าย มีราคาไม่สูง (ถ้าเทียบกับหัวปั่นแบบ Swing Out Rotor)
หัวปั่นแบบ Swing Out Rotor เป็นหัวปั่นประเภทเหมาะมากสำหรับการปั่น PRP เนื่องจากสาเหตุหลักคือเลือดหลังจากที่ทำการปั่นเหวี่ยงเสร็จ องค์ประกอบของเลือดที่แยกออกจากกัน จะมีลักษณะการเรียงตัวกันแบบสวยงามเป็นชั้น ๆ ทำให้ง่ายต่อการสกัดนำ PRP ออกมา
เครื่องปั่น PRP ที่นำมาเลือกใช้ ควรมีวิธีการใช้งานที่ไม่ยุ่งยากจนเกินไป เพื่อง่ายต่อการปฏิบัติงานและดูแลรักษา
ตรวจสอบ Spec ของตัวเครื่องปั่นเลือดที่ต้องการจะซื้อ ว่ามีคุณสมบัติในด้าน Safety หรือไม่ เช่น มีการตัดการทำงานของตัวเครื่อง หากเครื่องเกิดการไม่สมดุล, เครื่องจะไม่เริ่มทำงานหากมีการเปิดฝาเครื่องปั่นอยู่ ฯลฯ
เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และผู้ใช้งานควรจะซื้อสินค้าที่ดีที่สุดภายในงบที่ผู้ใช้งานมี เนื่องจากเครื่องที่มีคุณภาพสูง มักมีการรับประกันมากกว่าเครื่องทั่วไป และมักมีอายุการใช้งานที่สูงกว่าอีกด้วย ดังนั้นการลงทุนซื้อเครื่องคุณภาพสูง ซึ่งถึงแม้จะมีราคาสูง ก็ดีกว่าที่ซื้อเครื่องที่ราคาถูกมาก แต่ต้องส่งซ่อมบ่อย หรือท้ายที่สุด อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนมีราคาไม่คุ้มที่จะซ่อม จนต้องซื้อเครื่องใหม่อยู่ดี
ทั้งนี้ ราคาไม่ได้เป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงคุณภาพเสมอไป เนื่องจาก เครื่องปั่นที่มีราคาถูก ก็เป็นเครื่องปั่นที่มีคุณภาพได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ใช้งานควรอ่าน Spec ของตัวเครื่องปั่นเลือดอย่างละเอียด และดูความน่าเชื่อถือของผู้ขายและผู้ผลิต ว่าสามารถมีการรับประกันอะไหล่ให้ได้หรือไม่
เมื่อเราทราบถึงคุณสมบัติของเครื่องปั่น PRP ที่ต้องการสำหรับใช้ปั่นแยก PRP แล้ว ซึ่งถ้าใครยังไม่เข้าใจผมจะขอสรุปแบบสั้น ๆ ให้อีกทีครับ
ยี่ห้อ Zenith Lab
เครื่องปั่นรุ่นนี้มีจุดเด่นคือราคาไม่สูง แต่แลกมาด้วยกับการที่มีความจุในการใส่หลอด PRP ได้แค่ 6 ช่อง ซึ่งจริง ๆ ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
เหมาะกับคลินิกที่งบไม่สูง แต่ยังอยากได้เครื่องที่ปั่นแยก PRP ได้
ยี่ห้อ Zenith Lab
เครื่องปั่นรุ่นนี้เป็นเครื่องปั่นที่เหมาะสำหรับคนที่มีงบสูงขึ้นมา ซึ่งจะมีความจุที่สามารถจุได้ 12 หลอด มีการใช้งานที่ง่าย
เพียงแค่หมุนตั้งค่าความเร็วรอบที่ต้องการ ปิดฝาเครื่อง และหมุนตั้งค่าเวลาที่ต้องการ เพียงเท่านี้เครื่องก็เริ่มการทำงานแล้ว
ยี่ห้อ Senova
เครื่องปั่น PRP รุ่น TDZ5B-WS มีหัวปั่นแบบ Swing Out Rotor ซึ่งหัวปั่นประเภทนี้เมื่อทำการปั่นเหวี่ยงเสร็จจะมีการแยกชั้นออกมาแบบจัดเรียงกันสวยงาม ทำให้ดูด PRP ออกมาได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีหัวปั่นที่มีความจุ 4x50ml ที่สามารถจุหลอด PRP Kits ที่เป็นทรงกระบอกได้อีกด้วย
สรุป
เมื่อเลือกเครื่องปั่น PRP ผู้ใช้งานควรกางงบประมาณออกมา เทียบราคา, สเป็คของเครื่องปั่นเลือดที่เลือกออกมา และประเมิณว่าเครื่องไหนที่มีคุณภาพสูงสุดที่สามารถซื้อได้
โดยทั่วไปเครื่องปั่นเลือดปกติก็เพียงพอที่จะสามารถปั่น PRP ได้ตามที่ต้องการแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อแบบเครื่องปั่นเลือดชนิดตั้งพื้น แต่หากลูกค้าเยอะจริง ๆ และต้องใช้ Volume เยอะมาก ผู้ใช้ก็อาจจะจำเป็นที่ต้องมองทางเลือกสำหรับเครื่องปั่นเลือดชนิดตั้งพื้น
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปเครื่องปั่นเลือดเป็นเครื่องที่สามารถใช้งานได้นานหลายปี อยู่ที่การดูแลรักษา รวมถึงวัสดุที่ใช้ในการสร้างเครื่องปั่น ซึ่งการซื้อเครื่องปั่นที่ถึงแม้จะมีราคาสูงกว่าเครื่องปั่นที่มีราคาถูก แต่หากมันทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งซ่อมบ่อย ๆ หรือไม่ต้องกังวลถึงการต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ทุก ๆ 3-4 ปี ผมคิดว่ามันคุ้มค่ากับการลงทุน
หากท่านใดสนใจเครื่องปั่นเลือด (Centrifuge) สามารถเข้าชมสินค้าได้ที่ได้โดยการคลิ๊กลิงค์ :> เครื่องปั่นเลือด (Centrifuge)
หรือติดต่อได้ที่ LINE: @medinter
20 ธ.ค. 2566